ภาวะข้อเข่าเสื่อม ไม่ใช่แค่ปัญหาของคนมีอายุอีกต่อไป แต่เป็นปัญหาสุขภาพที่พบมากขึ้นในคนไทยทุกช่วงวัย
โดยเฉพาะกลุ่มที่มีน้ำหนักเยอะ หรือผู้ที่ใช้ข้อเข่าหนักเป็นประจำ ข้อมูลจากสมาคมแพทย์ออร์โธปิดิกส์แห่งประเทศไทย (Thai Orthopedic Association) ชี้ให้เห็นว่า ผู้ป่วยจำนวนมากต้องทนอยู่กับอาการปวดเรื้อรัง จนทำให้กระทบต่อคุณภาพชีวิตประจำวัน
ในอดีตทางเลือกการรักษาหลัก เมื่อมีอาการรุนแรงคือ การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า แต่ในปัจจุบัน ความก้าวหน้าทางการแพทย์ทำให้มีทางเลือกใหม่เข้ามา นั่นคือการรักษาด้วย สเต็มเซลล์ (Stem Cell Regenerative Therapy) ซึ่งเป็นแนวทางที่เน้นการฟื้นฟูตามธรรมชาติ
คำถามที่พบได้มากคือ ระหว่างการ ผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า กับการรักษา ด้วยสเต็มเซลล์ ทางเลือกไหนจะตอบโจทย์ชีวิตของคุณได้ดีกว่า? ในบทความนี้เราจะอธิบายทุกแง่มุมของการรักษาทั้งสองทาง เพื่อให้คุณมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจ
สาเหตุของข้อเข่าเสื่อมและอาการที่ควรระวัง
ข้อเข่าเสื่อม (Osteoarthritis)เป็นภาวะที่ กระดูกอ่อนที่ทำหน้าที่เหมือน “เบาะรองรับแรงกระแทก” ในข้อเข่าเกิดการสึกหรอและเสียหายมาอย่างต่อเนื่อง สาเหตุหลัก ๆ มาจาก:
- อายุ: ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด เมื่ออายุมากขึ้น ความสามารถในการซ่อมแซมตัวเองของกระดูกอ่อนจะลดลง
- น้ำหนักเกิน: การที่มีน้ำหนักตัวมาก ทำให้ข้อเข่าต้องรับน้ำหนักมากกว่าปกติ ส่งผลให้เกิดการสึกหรอ
- การใช้งาน: การเล่นกีฬาที่ต้องใช้เข่ากระโดดซ้ำ ๆ หรือการทำงานที่ต้องยืน หรือนั่งยองเป็นเวลานานจะทำให้ข้อเข่าสึกหรอ
- อุบัติเหตุ/การบาดเจ็บ: การบาดเจ็บ สามารถเร่งกระบวนการเสื่อมได้
อาการที่บ่งชี้ว่าคุณอาจกำลังเผชิญกับภาวะข้อเข่าเสื่อม ได้แก่ อาการ ปวดเข่า ขณะเคลื่อนไหว มีเสียงดังกรอบแกรบในข้อเข่า และมีอาการข้อฝืดตึงหลังตื่นนอน หรือหลังนั่งนาน ๆ สิ่งสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจคือ ข้อเข่าเสื่อมเป็นกระบวนการสึกหรอที่ไม่สามารถฟื้นฟูได้เองตามธรรมชาติ การรักษาจึงมีเป้าหมายเพื่อชะลอการเสื่อม ลดอาการปวด และฟื้นฟูการทำงานของข้อให้ดีที่สุด
ผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าคืออะไร?
ผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า (Total Knee Replacement – TKR) คือการผ่าตัดเอาผิวข้อที่ชำรุดเสียหายออก และใส่ข้อเข่าเทียมที่ทำจากโลหะผสมและพลาสติกชนิดพิเศษเข้าไปแทนที่ เพื่อให้สามารถใช้งานข้อเข่าได้ใกล้เคียงปกติมากที่สุด
ข้อดีของการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า
- เหมาะกับผู้ที่ข้อเข่าเสียหายรุนแรง: เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วย ข้อเข่าเสื่อม ในระยะรุนแรง (ระยะ 3-4) ที่วิธีการรักษาอื่น ๆ ไม่สามารถช่วยได้แล้ว
- ช่วยลดอาการปวด และฟื้นฟูการเดินได้ดี: ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถกลับมาเดินได้ดีขึ้น และอาการปวดลดลง
ข้อจำกัดของการผ่าตัด
- มีระยะพักฟื้นนาน: ต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการทำกายภาพบำบัดเพื่อให้ข้อเข่าเทียมทำงานได้อย่างเต็มที่
- อาจมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ หรือภาวะแทรกซ้อน: เช่น การเกิดลิ่มเลือด ข้อเข่าเทียมหลวม หรือปัญหาในการฟื้นตัว ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่มาพร้อมกับการผ่าตัดใหญ่ทุกชนิด
- ไม่ใช่ทุกคนที่จำเป็นต้องผ่าตัด: การผ่าตัดเป็นทางเลือกสุดท้าย ไม่เหมาะกับผู้ป่วยในระยะเริ่มต้นหรือปานกลาง
- ไม่มีการรับรองผลว่า หลังจากผ่าตัด การเจ็บปวดจะหายขาด
สเต็มเซลล์คืออะไร และทำไมถึงเป็นทางเลือกใหม่ในการรักษาข้อเข่า
สเต็มเซลล์ (Stem Cell) คือเซลล์ต้นกำเนิดที่มีคุณสมบัติพิเศษหลักๆ 2 อย่าง คือ สามารถแบ่งตัวเพิ่มจำนวนได้เอง และสามารถพัฒนาไปเป็นเซลล์ชนิดอื่น ๆ ในร่างกายได้ เมื่อนำมาใช้ในการรักษา ข้อเข่าเสื่อม จึงเรียกว่า Stem Cell Regenerative Therapy
หลักการของสเต็มเซลล์คือ การฉีดเซลล์ที่มีคุณภาพเข้าไปในบริเวณข้อเข่าที่เสียหาย เพื่อช่วยในการฟื้นฟูเนื้อเยื่อ โดยสเต็มเซลล์จะทำหน้าที่
- ลดการอักเสบ: สเต็มเซลล์มีฤทธิ์ในการหลั่งสารต้านการอักเสบ และลดอาการปวด
- ฟื้นฟูเนื้อเยื่อกระดูกอ่อน: ช่วยกระตุ้นให้เซลล์ในบริเวณนั้นเกิดการซ่อมแซมและสร้างกระดูกอ่อนขึ้นใหม่ได้
- ชะลอการเสื่อม: เป็นการเข้าถึงกระบวนการเสื่อมตั้งแต่ต้น ทำให้ความเสียหายของข้อเข่าเกิดขึ้นช้าลง
สเต็มเซลล์ไม่ใช่ “ยาวิเศษ”
แม้ว่าการรักษาด้วย สเต็มเซลล์ข้อเข่า จะมีผลลัพธ์ที่ดีในหลายกรณี แต่สิ่งสำคัญคือการมีความเข้าใจที่ถูกต้อง คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่าสเต็มเซลล์คือทางลัดที่รักษาได้ทุกโรค และถาวร
แต่หากอธิบาย และเทียบให้เข้าใจมากขึ้น สเต็มเซลล์ ก็เหมือนยาไทลินอล สำหรับรักษาอาการปวดศีรษะ บางคนทานหนึ่งเม็ดและดีขึ้น บางคนต้องทาน 2–3 เม็ด โดยจำนวนยาที่ทานขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย และการตอบสนองของแต่ละบุคคล และเมื่ออาการปวดหัวหายไปแล้ว ไม่ได้หมายความว่าคุณจะไม่กลับมาปวดอีกในอนาคต
เช่นเดียวกันกับการฉีดสเต็มเซลล์ สเต็มเซลล์จะช่วยซ่อมแซม และฟื้นฟูข้อเข่าที่สึกหรอแต่ มนุษย์ไม่สามารถหยุดเวลาได้ ร่างกายยังคงมีการใช้งานและเกิดการสึกหรอทุกวัน หากยังคงมีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น น้ำหนักเกิน หรือใช้ข้อเข่าหนัก อาการเสื่อมก็มีโอกาสกลับมาได้ ดังนั้น สเต็มเซลล์จึงเป็นเพียงเครื่องมือในการ “ฟื้นฟู” และ “ยืดอายุ” ข้อเข่า ไม่ใช่ยาวิเศษที่ทำให้ข้อเข่ากลับไปเป็นหนุ่มสาวอีกครั้ง
ข้อดีของการรักษาด้วยสเต็มเซลล์สำหรับข้อเข่าเสื่อม
- ช่วยลดอาการปวดและอักเสบ
- ฟื้นฟูเนื้อเยื่อกระดูกอ่อน: มีศักยภาพในการซ่อมแซมความเสียหายของกระดูกอ่อนในระยะเริ่มต้นถึงปานกลาง
- ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้นนาน: เป็นการรักษาที่ไม่ต้องผ่าตัด (Minimally Invasive) ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ภายใน 1–2 วัน
- ปลอดภัยหากทำโดยแพทย์เฉพาะทาง และใช้สเต็มเซลล์ที่ได้มาตรฐาน: การใช้สเต็มเซลล์ที่ผ่านการตรวจสอบและเพาะเลี้ยงจากห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐาน (GMP) และอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เฉพาะทาง จะมีความปลอดภัยสูงและลดความเสี่ยงของการติดเชื้อหรือผลข้างเคียง
แล้วเราควรเลือกแบบไหน? ผ่าตัดหรือสเต็มเซลล์?
การตัดสินใจระหว่าง ผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า กับ รักษาข้อเข่าเสื่อมด้วยสเต็มเซลล์ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ดังตารางเปรียบเทียบ:
ปัจจัย | ผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า (TKR) | สเต็มเซลล์ (Stem Cell) |
ระดับความเสื่อม | รุนแรงมาก (ระยะ 3-4) | ระยะเริ่มต้น–ปานกลาง (ระยะ 1-2) |
ระยะพักฟื้น | หลายสัปดาห์/เดือน | 1–2 วัน |
ความเสี่ยง | ภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดใหญ่, การติดเชื้อ | ต่ำมาก หากใช้แหล่งสเต็มเซลล์ที่ปลอดภัยและทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ |
ค่าใช้จ่าย | สูง (รวมค่าผ่าตัด ค่าห้องพักฟื้น และค่ากายภาพบำบัด) | ปรับตามจำนวนเซลล์ที่ใช้และความเข้มข้นของการรักษา |
สรุป: หากคุณยังอยู่ในระยะเริ่มต้นหรือปานกลางของอาการ ข้อเข่าเสื่อม (ปวดเป็น ๆ หาย ๆ และเพิ่งเริ่มมีอาการ) การรักษาด้วย สเต็มเซลล์ อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่าในการชะลอการเสื่อมและฟื้นฟูโดยไม่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงของการผ่าตัด แต่หากอาการรุนแรง ข้อเข่าบิดเบี้ยว และเดินแทบไม่ได้ การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าอาจเป็นทางออกที่มีประสิทธิภาพที่สุด
ป้องกันก่อน คือการดูแลที่ฉลาดที่สุด
ไม่ว่าคุณจะเลือกทางไหน การดูแลรักษา ข้อเข่าเสื่อม ไม่ควรรอให้เจ็บจนเดินไม่ได้แล้วค่อยหาทางแก้
การป้องกัน หรือรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ ก่อนที่จะเกิดอาการรุนแรง คือการดูแลที่ฉลาดที่สุด สเต็มเซลล์ เป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยฟื้นฟู และลดอาการปวด โดยเฉพาะในยุคที่ผู้คนต้องการความรวดเร็วและไม่อยากพักฟื้นนาน
อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ทางลัดหรือ ยาวิเศษ การรักษาได้ผลดีที่สุดเมื่ออาศัยการดูแลร่างกายร่วมกัน เช่น ควบคุมน้ำหนัก ออกกำลังกาย เสริมสร้างกล้ามเนื้อและปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน สิ่งเหล่านี้คือพื้นฐานสำคัญที่สุดในการมีข้อเข่าที่แข็งแรงและใช้งานได้ยาวนาน
สำหรับผู้ที่กำลังมองหาทางเลือกการรักษาที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านออร์โธปิดิกส์ หรือศูนย์ที่เน้นการรักษาแบบฟื้นฟู (Regenerative Medicine) เพื่อประเมินระดับความเสื่อมและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุดกับร่างกายของคุณ
คำถามที่พบบ่อย (FAQs) เกี่ยวกับสเต็มเซลล์ข้อเข่า
- สเต็มเซลล์ปลอดภัยหรือไม่?
จากบทวิจัย และการใช้ที่แพร่หลาย สเต็มเซลล์ถือว่าปลอดภัยมาก หากทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และใช้สเต็มเซลล์ที่ผ่านการเพาะเลี้ยงและตรวจสอบคุณภาพจากห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐาน
- ต้องทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผล?
ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะรู้สึกดีขึ้นตั้งแต่การรักษาครั้งแรก ๆ แต่จำนวนครั้งที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับระดับความเสื่อมและการตอบสนองของแต่ละบุคคล
- สเต็มเซลล์รักษาได้ถาวรหรือเปล่า?
สเต็มเซลล์ ไม่ได้รักษาให้หายขาดแบบถาวร เพราะกระบวนการเสื่อมยังเกิดขึ้นทุกวัน แต่การฉีดสเต็มเซลล์ถือเป็นการ ชะลอการเสื่อม และฟื้นฟูความเสียหาย เพื่อยืดอายุการใช้งานของข้อเข่าให้ยาวนานที่สุด
- ทำไมค่าใช้จ่ายของแต่ละคลินิกถึงต่างกัน?
ค่าใช้จ่ายขึ้นอยู่กับแหล่งที่มาของ สเต็มเซลล์ (เช่น จากไขมัน จากไขกระดูก หรือสเต็มเซลล์จากรก) จำนวนเซลล์ที่ฉีด และมาตรฐานของห้องปฏิบัติการที่ใช้เพาะเลี้ยงเซลล์ ยิ่งใช้เซลล์จำนวนมากหรือมาจากแหล่งที่ได้มาตรฐานระดับสากล ค่าใช้จ่ายก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย
เกี่ยวกับเรา
EDNA Wellness เราเป็นผู้นำด้านการใช้สเต็มเซลล์ (เซลล์บำบัด) สำหรับเวชศาสตร์ฟื้นฟู สำหรับระบบประสาท และโรคหลอดเลือดสมอง รวมถึงกระดูก และข้อเข่า นอกจากนี้ เรายังมีบริการด้านความงาม และเวชศาสตร์ชะลอวัยหลากหลายรูปแบบ เพื่อเสริมสร้างสุขภาพ และความงาม
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
LINE @ednawellness
WhatsApp +66 (0) 64 505 5599